Wednesday, 22 March 2023

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นับว่าเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของเมืองไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกความผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือจำหน่าย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความรู้สึกกลุ้มใจให้กับหลายฝ่าย เพราะเหตุว่าไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อต่อกรกับผลที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายผู้ใช้อย่างมากมาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ จ.กรุงเทพฯ ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกันกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามสำหรับในการยับยั้งกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม เป็นเรื่องยาก และเป็นความหนักใจที่ “อาจารย์” ต้องหาทางต่อกรกับกัญชา ที่ไหลล้นเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คุณครูผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยตั้งวง “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางครั้งอาจจะเป็นปัญหาแพร่กระจายใหญ่โต ถ้าเกิดว่าไม่มีมาตรการต่อกรที่ชัดเจน

กัญชาเสรีในโรงเรียน

เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

ครูคนจำนวนไม่น้อยเริ่มต้นสะท้อนว่า ก่อนจะมีการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็เผชิญปัญหา นักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเหตุมาจากนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะอยากนอน หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ ขณะที่อาจารย์ชอบใช้ วิธีการติเตียน ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้อยากมาเรียน ด้วยเหตุว่ารู้สึกขายขี้หน้า และหวาดกลัว

จากการสังเกตของอาจารย์หลายท่าน ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมขโมยของ และใช้กัญชาในเด็กนักเรียนมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

แม้ว่าคุณครูต้องต่อกรกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางจัดการกับปัญหาการใช้กัญชา ของผู้เรียน แต่อาจารย์ที่เข้าร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นอาจารย์เหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เพราะว่าการเข้าถึงรากของปัญหา จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงจะถูกบอกว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อนักเรียนก้าวเท้าออกจากโรงเรียน ก็สามารถพบเห็นการซื้อขายกัญชาได้อย่างสะดวกสบาย จึงทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการใช้กัญชา ในโรงเรียนกลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่อาจารย์จะต้องเผชิญ

ปัญหาข้อหนึ่งที่ครูสะท้อน คือการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะ TikTok ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลับเป็นข้อมูลด้านเดียวที่กล่าวว่า การใช้กัญชาจะทำให้จิตใจเบิกบาน เวลาเดียวกันอาจารย์ผู้สอนเองก็ขาดความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้ครูปราศจากความพร้อมสำหรับในการสอน หรือจัดการกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน อาจารย์เล็กน้อยที่ตระหนักถึงจุดสำคัญของการสอนเรื่องข้อดี-ข้อเสียของกัญชา และพยายามเชิญชวนผู้เรียนสนทนาแลกแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับไม่ได้รับการช่วยสนับสนุนหรือไม่มีคุณครูท่านอื่นร่วมด้วย ด้วยเหตุว่าฝ่ายกิจการเด็กนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องขบขัน และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ

อย่างเดียวกัน แม้นักเรียนจะให้ความสนใจหัวข้อนี้อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจจะเข้าถึงความรู้เรื่องกัญชาได้ เพราะเหตุว่าขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

ครูหลายคนชี้ว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของสถานการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นทิศทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ ส่งผลให้ครูดำเนินการลำบาก อาจารย์เสมือนตกอยู่ในสถานการณ์ออกศึกแต่ไร้อาวุธ ตั้งแต่ไร้สื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่แสดงทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนกระทั่งกรรมวิธีการจัดการกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างถูกต้อง และไม่ตัดทอนความเป็นคนของเด็กนักเรียน

นอกเหนือจากนี้ ภาระงานอื่นๆเยอะมากที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ครูผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะเฉยเมยต่อเด็กที่มีปัญหา หากแม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนคุณครู หรือผู้ปกครอง ก็ส่งผลให้ครูหลายคนยอมยกธงขาวไปในที่สุด

กัญชาเสรี

ทางออกสำหรับทุกคน

คุณครูที่ร่วมกลุ่มพูดคุยสะท้อนว่า ทางออกของใจความสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนเป็น สร้างการทำความเข้าใจที่เปิดกว้าง ให้เด็กนักเรียนได้เสนอคำถามกับการใช้กัญชา เปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้ศึกษา และเข้าถึงข้อมูลที่ถูก รวมทั้งเปิดโอกาสให้ เกิดการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน คุณครู และผู้บริหาร เหมือนกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ๋ยถึงจุดเด่น – จุดบกพร่องของการใช้กัญชาอย่างไม่อ้อมค้อม และสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมองค์กรที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีคุณภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยอาจารย์ที่ร่วมวงคุยมีความคิดเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกันกับการสื่อสารกับนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องมาจากอาจารย์กับเด็กนักเรียนใช้คนละภาษา

นอกเหนือจากนั้น ค่านิยมของโรงเรียนก็วินิจฉัยว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี ครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่รับ ซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งการทำให้การเห็นคุณประโยชน์ในตนเอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ของผู้เรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

เพราะฉะนั้น การทำงานกับความเชื่อของครูและเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อทำให้เด็กนักเรียนมีคนที่สามารถวางใจและสนทนาได้ ซึ่งจะทำให้เด็กนักเรียนรู้สึกไม่มีอันตราย เกิดความไว้วางใจและวางใจ นำมาซึ่งความรู้สึกมั่นใจ และสะท้อนการเห็นค่าในตนเอง ที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรจะมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือคุณครูในสถานศึกษาที่กำลังต่อกรกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับการใช้กัญชาของเด็กนักเรียน รวมถึงแนวนโยบายที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อคุ้มครองป้องกันเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงจุดบกพร่องของมัน เหมือนกันกับป้องกันไม่ให้เกิดเป็นปัญหาที่จะถั่งโถมเข้าใส่คุณครู จนกระทั่งอาจารย์รู้สึกหมดพลังกับการแก้ไขรายวัน และลดทอนศรัทธาของคุณครูที่ตั้งมั่นมาให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กนักเรียน